วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อาจารย์ อัจฉรา ชินนิยมพาณิชย์


อาจารย์อัจฉรา ชินนิยมพาณิชย์
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลงานทางวิชาการ : 
- วิทยานิพนธ์ระดับนิติศาสตรมหาบัณฑิต เรื่อง มาตรการทางกฎหมายในการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

ความสนใจทางวิชาการ : 
- กฎหมายสิ่งแวดล้อม (Environmental Law)
- กฎหมายประชาคมอาเซียน (ASEAN Law)
- กฎหมายเยอรมันและกฎหมายประชาคมยุโรป (German Law and EU Law)
- สิทธิมนุษยชน (Human Rights)
- นิติปรัชญา (Philosophy of Law)

เกียรติคุณ รางวัลที่ได้รับ :
- (April, 2010)  “Scholarship for Spring School Program at Goethe Universität, Frankfurt am Main, Germany”, organized by the German-Southeast Asian Center of Excellence for Public Policy and Good Governance (CPG), Thammasat University

ประวัติการทำงาน :
2551 – 2555   เจิมมิ่ง เฟรย์ โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท (เลขานุการส่วนตัวของประธานกรรมการบริหาร / ที่ปรึกษากฎหมาย)
    Germing Frey Hotels & Resorts PCC (Personal Assistant to CEO / Corporate Counsel)

2549 – 2551   มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก (พนักงานประสานงานแหล่งทุนต่างประเทศ / ผู้ช่วยผู้ประสานงานโครงการต่อต้านการค้ามนุษย์ในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง)
The Center for the Protection of Children’s Rights Foundation (International Fundraiser / Mekong Regional Project Coordinator Assistant; Project of Anti-Trafficking)

2547 – 2549   ศาลเด็ก เยาวชน และครอบครัวเขตแฟร์แฟกซ์ รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (อาสาสมัครแผนกบริการผู้เสียหายในคดี)
  Juvenile and Domestic Relations District Court, Virginia, USA (Volunteer of Victim Services Unit)

2545 – 2546   บริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำกัด (มหาชน) (ผู้ช่วยฝ่ายกฎหมาย)
Laguna Resorts & Hotels PLC (Legal Assistant)


ประวัติการศึกษา :
2554  นิติศาตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  LL.M (Natural Resources and Environmental Law), Thammasat University

2548  ประกาศนียบัตรผู้ช่วยทนายความ George Mason University ประเทศสหรัฐอเมริกา
  Certificate in Paralegal, George Mason University, USA

2546  ประกาศนียบัตรหลักสูตรวิชาว่าความ รุ่นที่ 19 (ใบอนุญาตว่าความ) สภาทนายความ
Certificate in Litigation Lawyer the 19th class - year 2002, Lawyers Council of Thailand

2545  ประกาศนียบัตรวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะอาชีพ (กฎหมาย)  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
Certificate in English for Specific Careers (Law), Sukothai Thammathiraj Open University  
2544  นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  LL.B, Thammasat University

2539  มัธยมศึกษาตอนปลาย (สายศิลป์ภาษาอังกฤษ เยอรมัน) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
High School Degree (major: Arts – German), Triam Udom Suksa School

คำถามที่ 8

คำถามที่ 8 : การดักจับข้อมูลรหัสผ่าน แล้วนำไปใช้หรือขายต่อ

การแอบดักจับข้อมูลของลูกค้าเป็นความผิดในมาตรา มาตรา 6 ของพรบคอมพวิเตอร์ กล่าวว่าการล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึง   ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี   หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

คำถามที่ 7

คำถามที่ 7 : การเปิดรับและตอบกลับอีเมล์จากผู้ที่ไม่รู้จัก อาจมีการแฝงไวรัส

มีความผิดตามมาตรา 11 พรบคอมพิวเตอร์ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น  โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว  อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่น  โดยปกติสุข ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งแสนบาท

คำถามที่ 6

คำถามที่ 6 : การกระทำให้หลงเชื่อเพื่อให้ลูกค้ากระทำธุรกรรมโดยวิธี โอนเงิน หรือสั่งจ่ายผ่านบัตรเครดิต

การหลอกผู้อื่นบนระบบออนไลท์มีความผิดตามมาตรา 14พรบคอมพิวเตอร์ ความว่า ผู้ใดนำเข้า/ปลอม/เท็จ/ภัยมั่นคง/ลามก/ส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์

คำถามที่ 5

คำถามที่ 5 :  การดักจับข้อมูลจากสายสัญญาณขณะที่ลูกค้ากระทำธุรกรรม โดยการทำสำเนารหัสจากอุปกรณ์ Skimmer ที่ถูกติดตั้งกับ Machine ที่ใช้ทำธุรกรรม

การแอบดักจับข้อมูลของลูกค้าเป็นความผิดในมาตรา มาตรา 6 ของพรบคอมพวิเตอร์ กล่าวว่าการล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึง   ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี   หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

คำถามที่ 4

คำถามที่ 4 :  การเจาะเข้าระบบงาน (Hack) โดยตรงและทำความเสียหายให้กับลูกค้า

การเจาะเข้าระบบผิดตามมาตรา พรบคอมพิวเตอร์

คำถามที่ 3

คำถามที่ 3 ในกรณีที่มีการส่งมอบสินค้าให้กับผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว ในภายหลังมีการตรวจสอบหลักฐานการโอนเงิน พบว่า มีการปลอมแปลงหลักฐานการโอนเงินเท็จให้กับทางร้าน ทางร้านค้าควรทำอย่างไร (ลูกค้าผิด)

ผิดกฎหมายอาญาเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีต่อผู้ซื้อได้ ทั้งยังเป็นการฉ้อโกงด้วยส่วนกฎหมายแพ่ง สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้

อธิบายหลักจริยธรรมนเรื่องของ ความซื่อสัตย์ในยุคการค้าเสรี ลูกค้าและผู้ประกอบการ ควรมีความซื่อสัตย์ และมีความระมัดระวังในการซื้อขายสินค้า ทั้งสองฝ่าย ข้อมูลจากกรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความไว้เนื้อเชื่อใจและมีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เนื่องจากมีการส่งหลักฐานการโอนเงินให้ทางผู้ประกอบการ และได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว แต่ทางลูกค้าไม่มีความซื่อสัตย์ในการซื้อขายสินค้า กระทำการแจ้งหลักฐานการโอนเงินเท็จ รวมไปถึงผู้ประกอบการขาดความระมัดระวังในการตรวจสอบหลักฐาน จึงทำให้ผู้ประกอบการเกิดการเสียผลประโยชน์และถูกโกงการจากการซื้อขาย

คำถามที่ 2

คำถามที่ 2 หากผู้ประกอบการต้องการจัดทำธุรกิจออนไลน์ ผู้ประกอบการควรทำการจดทะเบียนผู้ประกอบการค้าพาณิชย์ออนไลน์ หรือไม่ อย่างไร?

ผิดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  เครื่องหมายรับรองการจดทะเบียนผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD Registered)เพื่อยืนยันการมีตัวตนของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือย่ายอินเทอร์เน็ต บริการอินเทอร์เน็ต บริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบสถานะและการมีอยู่จริงของผู้ประกอบการ และรายชื่อผู้ประกอบการทั้งหมดจะรวบรวมอยู่ในฐานข้อมูลผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือในการประกอบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD Verified) เพื่อรับรองมาตรฐานการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ดีสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้า

ในดานหลักจริยธรรมผู้ประกอบการควรทำการจดทะเบียนการค้า เพื่อให้ร้านค้าเกิดความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบการประกอบกิจการได้ง่าย และเสียภาษีอย่างถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันการจดทะเบียนการค้าถือเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ร้านค้า การจดทะเบียนจะเป็นการยืนยันข้อมูลการมีตัวตนของผู้ขายว่ามีตัวตนอยู่จริง หากลูกค้าถูกเอาเปรียบจากร้านค้า สามารถร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสามารถติดตามให้ทางร้านรับผิดชอบได้โดยง่าย

คำถามที่ 1

คำถามที่ 1 เมื่อผู้ซื้อทำการสั่งสินค้าจากผู้ขายสินค้า มีการชำระให้กับทางร้านค้าเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ 


ผิดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรื่องการซื้อขายเนื่องจากว่าผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าให้แก้ผู้ซื้อ และผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคา(เงิน)ให้แก่ผู้ขาย กรณีนี้ผู้ซื้อมีการชำระเงินต่อผู้ขายแล้ว ผู้ขายจึงต้องมีหนี้ที่จะส่งสินค้าให้ผู้ซื้อ

ผิดหลักจริยธรรมในด้านของ “Codes of Conducts” นี้ ประกอบด้วยหลักการ 3 เรื่อง คือ
1. ความเชื่อถือได้ (Reliability) โดยข้อมูลที่เผยแพร่จะต้องมีความเชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับในการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ความเชื่อถือได้ของระบบและองค์กร และความเชื
่อถือได้ของชนิดของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
2. ความโปร่งใส (Transparency) ข้อมูลที่มีอยู่จะต้องมีความโปร่งใสอย่างสูงสุด เช่น ข้อมูลการติดต่อ ข้อมูลทะเบียนการค้า หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดสินค้า รายละเอียดค่าใช้จ่าย รูปแบบและเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาการจัดส่งสินค้า การรับประกันสินค้า กฏหมายเกี่ยวกับการทำธุรกรรม เป็นต้น
1. ความเชื่อถือได้ (Reliability) โดยข้อมูลที่เผยแพร่จะต้องมีความเชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับในการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ความเชื่อถือได้ของระบบและองค์กร และความเชื่อถือได้ของชนิดของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
2. ความโปร่งใส (Transparency) ข้อมูลที่มีอยู่จะต้องมีความโปร่งใสอย่างสูงสุด เช่น ข้อมูลการติดต่อ ข้อมูลทะเบียนการค้า หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดสินค้า รายละเอียดค่าใช้จ่าย รูปแบบและเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาการจัดส่งสินค้า การรับประกันสินค้า กฏหมายเกี่ยวกับการทำธุรกรรม เป็นต้น
2. ความโปร่งใส (Transparency) ข้อมูลที่มีอยู่จะต้องมีความโปร่งใสอย่างสูงสุด เช่น ข้อมูลการติดต่อ ข้อมูลทะเบียนการค้า หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดสินค้า รายละเอียดค่าใช้จ่าย รูปแบบและเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาการจัดส่งสินค้า การรับประกันสินค้า กฏหมายเกี่ยวกับการทำธุรกรรม เป็นต้น

แผนผังจัดการกระบวนการความรู้

แผนผังจัดการกระบวนการความรู้


ภาพโดย

กลุ่ม KM SYSTEM section 005
   เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนวิชา 954260 KM SYSTEM

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คำถามที่พบบ่อย

คำถามที่ 1: เมื่อผู้ซื้อทำการสั่งสินค้าจากผู้ขายสินค้า มีการชำระให้กับทางร้านค้าเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ 


คำถามที่ 2: หากผู้ประกอบการต้องการจัดทำธุรกิจออนไลน์ ผู้ประกอบการควรทำการจดทะเบียนผู้ประกอบการค้าพาณิชย์ออนไลน์ หรือไม่ อย่างไร?

คำถามที่ 3:ในกรณีที่มีการส่งมอบสินค้าให้กับผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว ในภายหลังมีการตรวจสอบหลักฐานการโอนเงิน พบว่า มีการปลอมแปลงหลักฐานการโอนเงินเท็จให้กับทางร้าน ทางร้านค้าควรทำอย่างไร (ลูกค้าผิด)

คำถามที่ 4:การเจาะเข้าระบบงาน (Hack) โดยตรงและทำความเสียหายให้กับลูกค้า


คำถามที่ 5:  การดักจับข้อมูลจากสายสัญญาณขณะที่ลูกค้ากระทำธุรกรรม โดยการทำสำเนารหัสจากอุปกรณ์ Skimmer ที่ถูกติดตั้งกับ Machine ที่ใช้ทำธุรกรรม

คำถามที่ 6 การกระทำให้หลงเชื่อเพื่อให้ลูกค้ากระทำธุรกรรมโดยวิธี โอนเงิน หรือสั่งจ่ายผ่านบัตรเครดิต

คำถามที่ 7 : การเปิดรับและตอบกลับอีเมล์จากผู้ที่ไม่รู้จักอาจมีการแฝงไวรัส

คำถามที่ 8 : การดักจับข้อมูลรหัสผ่านแล้วนำไปใช้หรือขายต่อ

กรณีศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์

กรณีศึกษาปัญหาจากเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจออนไลน์


กรณีที่ 1:  การเจาะเข้าระบบงาน (Hack) โดยตรงและทำความเสียหายให้กับลูกค้า

กรณีที่ 2  การดักจับข้อมูลจากสายสัญญาณขณะที่ลูกค้ากระทำธุรกรรม โดยการทำสำเนารหัสจากอุปกรณ์ Skimmer ที่ถูกติดตั้งกับ Machine ที่ใช้ทำธุรกรรม

กรณีที่ 3การกระทำให้หลงเชื่อเพื่อให้ลูกค้ากระทำธุรกรรมโดยวิธี โอนเงิน หรือสั่งจ่ายผ่านบัตรเครดิต

กรณีที่ 4การเปิดรับและตอบกลับอีเมล์จากผู้ที่ไม่รู้จัก อาจมีการแฝงไวรัส

กรณีที่ 5 การดักจับข้อมูลรหัสผ่าน แล้วนำไปใช้หรือขายต่อ

กรณีที่ 6การใช้บริการธนาคารออนไลน์ผ่านร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่

กรณีที่ 7การส่งข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินให้กับบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก

กรณีที่ 8การสั่งซื้อ In-app purchase เป็นการสั่งซื้อสินค้าประเภทแพ็คเกจเพิ่มเงิน ทอง เพชร หรือ Item ต่างๆ ที่ใช้ในเกม แต่เมื่อกดสั่งซื้อชำระผ่านบัตรเครดิต ก็มีข้อความว่าการซื้อไม่สำเร็จ กรุณาทำรายการใหม่ เมื่อกดลองใหม่ก็มีการเรียกเก็บเงินทุกครั้งที่มีการสั่งซื้อโดยที่เราไม่ได้รับสินค้านั้นๆ

กรณีที่ 9 : คดีระหว่างนายชิโมมูระ (Shimomura) และนายมิทนิค (Mitnick) เกิดขึ้นในวันคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1994 โดยนายชิโมมูระ นักฟิสิกส์ของศูนย์ประมวลผลซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (San Diego High Performance Supercomputer Center) ณ เมืองซานิดเอโก (San Diego) เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยในระบบคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในเรื่องการป้องกันการเจาะเข้ามาในระบบ หลายปีต่อมาเขาได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับจุดอ่อนของระบบการรักษาความ ปลอดภัยในระบบต่าง ๆไว้มากมาย รวมทั้งการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ป้องกันการเจาะข้อมูลด้วยในวันคริสต์มาส ขณะที่นายชิโมมูระเล่นสกีอยู่ก็มีคนแอบเจาะเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ที่บ้านของ เขาซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา โดยผู้ลักลอบเข้ามาได้แอบทำสำเนา (Copy) แฟ้มข้อมูลนับสิบแฟ้ม และมีคำด่าอย่างหยาบคายทิ้งไว้ สาเหตุที่นายชิโมมูระพบว่ามีคนเจาะข้อมูลก็เนื่องจากตัวเขาเองได้ให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ที่บ้านทำสำเนา (Copy) ข้อมูลสำรองโดยอัตโนมัติและนำไปไว้ที่เครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เมือง ซานดิเอโกด้วย ต่อมานักศึกษาที่ศูนย์ดังกล่าวสังเกตเห็นว่ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการ ล็อกแฟ้มข้อมูล (Log files system) เกิดขึ้น จึงรู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นแล้ว นักศึกษาคนนั้นจึงรีบไปแจ้งนายชิโมมูระทันที นายชิโมมูระจึงตัดสินใจประกาศต่อสาธารณชนเพื่อเรียกร้องและขอความช่วยเหลือ ในการจับผู้ร้ายดังกล่าว นายชิโมมูระพยายามวิเคราะห์ถึงจุดอ่อนของระบบของตน และพบว่าการเจาะข้อมูลดังกล่าวเป็นความสามารถของผู้เจาะข้อมูลที่สามารถปลอก แหล่งที่อยู่ (Source address) ของกลุ่มข้อมูล (Packet) ที่ถูกส่งไปยังระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอมพิวเตอร์บางระบบจะทำการตัดสินใจว่าจะรับคำสั่งจากระบบอื่นที่ส่งชุด คำสั่งมาหรือไม่ โดยดูจากแหล่งที่อยู่ของข้อมูล (Source address) และอาจจะเป็นที่จุดอ่อน (Vulnerability) ของระบบด้วยก็ได้ นายชิโมมูระมีระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างดีเยี่ยม ซึ่งผู้เจาะข้อมูลเข้าไปได้พยายามทำให้กลุ่มข้อมูล (Packet) มาจากระบบที่สามารถติดต่อได้จริง
นายชิโมมูระได้ตีพิมพ์ผลการวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อต้องการความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ในการจับผู้กระทำผิด และในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เหตุการณ์เช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นกับนายชิโมมูระก็ได้เกิดขึ้นกับระบบการ บริการแบบเชื่อมตรง (On-line) ที่เรียกว่า The Well ที่มีผู้นิยมใช้บริการอย่างกว้างขวางในเขตอ่าวซานฟรายซิสโก ผู้ดูแลระบบ The Well สังเกตว่ามีแฟ้มข้อมูลเข้ามาในจานเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับ Computer, Freedom, and Privacy (CFP) Group เหตุการณ์ดังกล่าวดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก เนื่องจากกลุ่ม CFP ไม่ค่อยได้ใช้งานระบบดังกล่าว ต่อมานักเขียนโปรแกรมที่ช่วยดูแลกลุ่ม CFP ผู้ซึ่งเคยอ่านเรื่องราวที่เกิดกับนายชิโมมูระสังเกตเห็นว่าแฟ้มข้อมูลที่ หลั่งไหลเข้ามาเหมือนกับแฟ้มข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากระบบคอมพิวเตอร์ของนายชิ โมมูระ
เมื่อนายชิโมมูระได้รู้เบาะแสว่าผู้ที่เคยเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของตนได้ใช้ วิธีเดียวกันนี้กับระบบ The Well เช่นกัน เขาได้เขียนซอฟต์แวร์เพื่อจับตาดูการทำงานของระบบ The Well และรอว่าเมื่อไรจะมีผู้เจาะเข้ามาอีก โดยการตรวจสอบกลุ่มข้อมูล (Packet) ที่เข้ามาในระบบ The Well รวมทั้งทำการบันทึกการพิมพ์ (Keystrokes) ของผู้แอบเจาะข้อมูล การจับตาดูผู้กระทำผิดครั้งนี้อาจได้รับเบาะแสว่าบุคคลผู้นี้เป็นใคร และจะจับตัวได้อย่างไร หากผู้กระทำผิดเข้ามาเพียงชั่วครู่เดียวก็อาจไม่พบเบาะแสดังกล่าว แต่ก็มีความเชื่อว่าบุคคลที่เคยกระทำความผิดมักจะทำซ้ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับนายชิโมมูระ และ The Well ได้เกิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สาม
ที่บริษัทโมโตโรล่า (Motorola) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจะเป็นเป้าหมายสำคัญของนักเจาะระบบ แต่คราวนี้ได้มีการตั้งทีมสอบสวน ซึ่งนอกจากจะใช้โปรแกรมตรวจจับของนายชิโมมูระที่เคยใช้กับระบบ The Well แล้ว ทีมงานสอบสวนยังพบสำเนาของโปรแกรมควบคุมโทรศัพท์มือถือระบบเซลลูล่าร์หรือ ไร้สายของโมโตโรล่าด้วย ต่อมาเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ได้ขยายวงกว้างออกไปเกิดกับระบบ Netcom ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการต่อเชื่อมตรง (On-line) รายใหญ่แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้เจาะข้อมูลบังเอิญโชคดีที่สามารถทำสำเนา (Copy) ข้อมูลที่เป็นหมายเลขเครดิตการ์ดของสมาชิกจาก Netcom เกือบ 20,000 ราย และผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ด้วย ผู้ใช้บริการระบบ Netcom ในสหรัฐอเมริกาล้วนแต่ได้รับความเดือดร้อนจากนักเจาะข้อมูลตัวฉกาจนี้ทั้งสิ้น

กรณีที่ 10 : ความไม่ปลอดภัยของข้อมูล ขาดการตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตบน Internet ข้อมูลบนบัตรเครดิตอาจถูกดักฟังหรืออ่าน เพื่อเอาชื่อและหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้โดยที่เจ้าของบัตรเครดิตไม่รู้ตัวได้

กรณีที่ 11 : ในกรณีที่ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่คนละประเทศกันจะใช้กฎหมายของประเทศใดเป็นหลัก หากมีการกระทำผิดกฎหมายในการการกระทำการซื้อขายลักษณะนี้ ความยากลำบากในการติดตามการซื้อขายทางInternet อาจทำให้รัฐบาลประสบปัญหาในการเรียกเก็บภาษีเงินได้และภาษีศุลกากร

กรณีที่ 12 : การทำธุรกรรมโดยที่ไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ที่ติดต่อด้วย ว่าเป็นผู้บรรลุนิติภาวะหรือไม่ วิกลจริต หรือ เป็นผู้ถูกอนุบาลหรือไม่ และการไม่ทราบแหล่งที่อยู่ที่แท้จริง

กรณีที่ 13 : การฟ้องร้องเป็นไปได้ยากลำบาก เนื่องจากไม่มีการทำสัญญาซื้อ-ขายเป็นลายลักษณ์อักษร

กรณีที่ 14 : ในการใช้เลขบัตรประชาชนในการทำธุรกรรมซื้อขาย ถ้ามีการเชื่อมข้อมูลต่างๆโดยยึดเลขบัตรประชาชนเป็นหลัก อาจทำให้มีการเกิดการล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้

กรณีที่ 15 : บริษัท Loxinfo ได้ทำการจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิต ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ e-Commerce แล้วต่อมาได้ถูกนักเจาะระบบข้อมูลชาวอังกฤษเจาะระบบ และนำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต

กรณีที่ 16 : บริษัท iPremier อยู่ใน Seattle, Washington ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 โดยนักศึกษา 2 คนจาก Swartmore College เป็นบริษัท e-commerce หนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจหลักๆ คือการขายสินค้าหรูหรา หายาก และเก่าแก่ให้กับลูกค้าชั้นสูงบนอินเตอร์เน็ต เมื่อเริ่มการก่อตั้ง iPremier สามารถขึ้นเป็นหนึ่งในสองอันดับต้นๆ ของบริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกัน ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับราคาหุ้นของบริษัท ทันทีที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปลายปี 1998 ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็น 3 เท่า เมื่อพิจารณาแล้วดูเหมือนว่า iPremier เป็นบริษัทที่มีการทำงานโดยการพัฒนารูปแบบทางธุรกิจ และกลยุทธ์เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนจากการที่บริษัทจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินการทางด้านระบบสารสนเทศที่ไม่ดี ทำให้เกิดช่องโหว่ อีกทั้งไม่ได้ตระหนักถึงจนกระทั่งเกิดปัญหาขึ้น หลังก่อตั้งบริษัทมาเกือบ 9 ปี วันที่ 12 มกราคม 2009 iPremier ได้เผชิญปัญหาหลักที่ใหญ่ และท้าทาย Website ของ iPremier ไม่สามารถเข้าได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีจากการถูกเจาะเข้าสู่ระบบ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จากข้อมูลในกรณีศึกษานี้ไม่สามารถบอกได้ว่าการโจมตีเกิดขึ้นจากการสุ่มหรือ ตั้งใจเฉพาะเจาะจง ทั้งนี้ลูกค้าของ iPremier ไม่สามารถเข้าถึง website ได้ และมีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้อาจทำลายภาพพจน์ ชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของบริษัท อีกหนึ่งปัญหาหลักจากกรณีศึกษาคือ iPremier มีการจ้างบริการการดำเนินงาน และระบบสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบจากภายนอกชื่อ Qdata ซึ่งดูเหมือนว่า มาตรฐานและคุณภาพการบริการอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับระดับของคุณภาพและบริการที่ลูกค้า iPremier สมควรได้รับ

กรณีที่ 17 : การซื้อ-ขายสินค้ากัน แต่สินค้าที่ได้รับไม่ตรงตามข้อตกลง ตามที่สั่งไว้

กรณีที่ 18 : การตัดเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิตซ้ำซ้อน หรือตัดเกินยอดที่เป็นจริง

กรณีที่ 19 : การเขียนแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อขายสินค้าหรือ บริการ และเมื่อมีคนเข้าไปทำธุรกรรมและซื้อสินค้าเหล่านั้น แต่ไม่ได้รับสินค้า  กรณีดังกล่าว จึงเกิดปัญหา และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก และความเสียหายดังกล่าวอาจเป็นเงินจำนวนสูง ถ้าสินค้านั้นเป็นที่นิยม เช่น ตุ๊กตาที่สั่งจากต่างประเทศ(เฟอร์บี้,บลายธ์) หรือสินค้าพรีออร์เดอร์นำเข้าจากต่างประเทศต่างๆ เป็นต้น














บรรณานุกรม
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:pDi5xQYkVS8J:www.coj.go.th/iad/userfiles/file/E-Payment.doc+&cd=6&hl=th&ct=clnk&gl=th
http://elib.coj.go.th/Article/d47_2_2.pdf
http://jamlong-patthong.blogspot.com/2013/05/9-17.html
web.yru.ac.th/~pimonpun/4123506/.../Data%20Protection%20Law.doc
http://knowledge.vayoclub.com/?p=791
http://www.siamrath.co.th/web/?q=ปัญหาการฉ้อโกงทาง-online

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์

ภาพโดย
กลุ่ม KM SYSTEM section 005
   เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนวิชา 954260 KM SYSTEM

กฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจอีเล็กทรอนนิกส์

ธุรกิจออนไลน์ เป็นรูปแบบหนึ่งของการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการที่ดีมีจริยธรรม และ ผู้ประกอบการที่หวังเพียงผลกำไร แม้กระทั่งผู้บริโภคเองก็มีการใช้เทคนิคกลยุทธ์หรือหากทุกฝ่ายดำเนินการด้วยความไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมหรือความไม่ถูกต้องในการดำเนินธุรกรรม จำเป็นต้องมีกฎ ระเบียบ เพื่อเป็นกติกาให้ทุกฝ่ายปฏิบัติอย่างเป็นธรรมส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

 กฎ ระเบียบธุรกรรมทางออนไลน์

- กฎหมายทะเบียนพาณิชย์ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ทั้งบุคคลและนิติบุคคล ต้องจดทะเบียนพาณิชย์พาณิชย์กิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ (ที่ว่าการเขต กทม / อบต / เทศบาล / เมืองพัทยา )

- กฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าทางออนไลน์ที่เข้าข่ายการตลาดแบบตรง ต้องจดทะเบียนการประกอบธุรกิจกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนทำการค้า
- กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ห้ามมิให้ปฏิเสธในการมีผลผูกพันและการบังคับใช้กฎหมายของข้อความที่อยู่ในรูปข้อมูล อีเล็กทรอนิกส์หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
- กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ครอบคลุมถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ผู้ให้บริการ หรือแม้แต่ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนหน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
- กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายที่มีหลักการเพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัว อันเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรอง และกำหนดหลักการพื้นฐานในการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม กฎ ระเบียบการประกอบธุรกิจทั่วไป
- ประมวลกฎหมายอาญา กำกับดูแลการประกอบการที่มีเจตนาทุจริต ฉ้อโกง หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ที่หลอกลวงเอาทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม หน่วยงานรับผิดชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กำกับดูแลการโฆษณาต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค มีเจตนาก่อให้เกิดการเข้าใจผิด ไม่ว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นข้อความที่เกี่ยวกับ

อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์  คือ
1.การกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทำให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และผู้กระทำได้รับผล ประโยชน์ตอบแทน
2.การกระทำผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งใช้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือและในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่เพื่อนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต้องใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน


     การประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาล อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จึงจัดเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ อาชญากรรมทางธุรกิจรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญ

  • มีรูปแบบอะไรบ้าง

ปัจุบันทั่วโลก ได้จำแนกประเภทอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้
9 ประเภท (ตามข้อมูลคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจร่างกฎหมายอาชญากรรมทาคอมพิวเตอร์)
1. การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตรวมถึงการขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
2. การปกปิดความผิดของตัวเอง โดยใช้ระบบการสื่อสาร
3. การละเมิดลิขสิทธิ์ ปลอมแปลงรูปแบบเลียนแบระบบซอฟแวร์โดยมิชอบ
4. การเผยแพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
5. การฟอกเงิน
6. การก่อกวน ระบบคอมพิวเตอร์ เช่น ทำลายระบบสาธารณูปโภค  เช่น      ระบบจ่ายน้ำ จ่ายไฟ จราจร
7. การหลอกลวงให้ร่วมค้าขาย หรือ ลงทุนปลอม (การทำธุรกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย)
8. การลักลอบใช้ข้อมูลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบเช่น การขโมยรหัสบัตรเครดิต
9. การใช้คอมพิวเตอร์ในการโอนบัญชีผู้อื่นเป็นของตัวเอง


ประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-Crime) เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่อยู่บนระบบดังกล่าว ส่วนในมุมมองที่กว้างขึ้น “อาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์” หมายถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายใดๆ ซึ่งอาศัยหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ถือเป็นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยตรงในการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 10 ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด (The Tenth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 10-17 เมษายน 2543ได้มีการจำแนกประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตการสร้างความเสียหายแก่ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์การก่อกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายการยับยั้งข้อมูลที่ส่งถึง/จากและภายในระบบหรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และการจารกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์โครงการอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Cyber-Crime and Intellectual Property Theft) พยายามที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และค้นคว้าเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 6 ประเภท ที่ได้รับความนิยม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับขอบเขตและความซับซ้อนของปัญหา รวมถึงนโยบายปัจจุบันและความพยายามในการปัญหานี้


อาชญากรรม 6 ประเภทดังกล่าวได้แก่

1. การเงิน – อาชญากรรมที่ขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการทำธุรกรรม อี-คอมเมิร์ซ(หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)
2. การละเมิดลิขสิทธิ์ – การคัดลอกผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็นสื่อในการก่ออาชญากรรม แบบเก่า โดยการโจรกรรมทางออนไลน์หมายรวมถึง การละเมิดลิขสิทธิ์ ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจำหน่ายหรือเผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์
3. การเจาะระบบ – การให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และในบางกรณีอาจหมายถึงการใช้สิทธิการเข้าถึงนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้การเจาะระบบยังอาจรองรับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ (เช่น การปลอมแปลง การก่อการร้าย ฯลฯ)
4. การก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ – ผลสืบเนื่องจากการเจาะระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว เช่นเดียวกับการก่อการร้ายทั่วไป โดยการกระทำที่เข้าข่าย การก่อการร้ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-terrorism) จะเกี่ยวข้องกับการเจาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อก่อเหตุรุนแรงต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว
5. ภาพอนาจารทางออนไลน์ – ตามข้อกำหนด 18 USC 2252 และ 18 USC 2252Aการประมวลผลหรือการเผยแพร่ภาพอนาจารเด็กถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และตามข้อกำหนด 47 USC 223 การเผยแพร่ภาพลามกอนาจารในรูปแบบใดๆ แก่เยาวชนถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางใหม่สำหรับอาชญากรรม แบบเก่า อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการควบคุมช่องทางการสื่อสารที่ครอบคลุม ทั่วโลกและเข้าถึงทุกกลุ่มอายุนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงและการโต้ แย้งอย่างกว้างขวาง
6. ภายในโรงเรียน – ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งทรัพยากรสำหรับการศึกษาและสันทนาการ แต่เยาวชนจำเป็นต้องได้รับทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมืออันทรงพลังนี้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดยเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดทางกฎหมาย สิทธิของตนเอง และวิธีที่เหมาะสมในการป้องกันการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด

ความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ 2550

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้การประกาศใช้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 ในด้านการประกอบธุรกิจด้านออนไลท์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยความในพรบ.คอมพิวเตอร์ 2550 นั้นได้ระบุความผิดไว้ดังนี้
1.มาตรา 5 การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ : ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 มีความหมายว่าถ้าเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่อนุญาตให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราได้มีการแอบเข้าไปในระบบของผู้อื่นถือเป็นความผิด
2.มาตรา 6 การล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึง : ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึง   ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี   หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
   มีความหมายว่าแอบทราบถึงรหัสป้องกันของผู้อื่นแล้วนำมาเผยแพร่ให้ผู้อื่นทราบ
3.มาตรา 7 การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ : ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
          มีความหมายว่า บุคคลอื่นซึ่งได้เข้าไปถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต
        4.มาตรา 8 การดักข้อมูลโดยมิชอบ : ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์   และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น    มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มีความหมายว่า บุคคลใดแอบดักรับฟังข้อมูลผู้อื่นมีความผิด
5.มาตรา 9 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลคอมพิวเตอร์ : ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น   โดยมิชอบต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มีความหมายว่า ห้ามดัดแปลงทำลายแก้ไขเปลี่ยนแปลง ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นมีความผิด
     6.มาตรา 10 รบกวน ขัดขวาง ระบบคอมพิวเตอร์ : ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง  หรือรบกวน  จนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มีความหมายว่า ห้ามมิให้ปล่อย Multiware เช่น virus, Trojan, worm เข้าระบบคอมพิวเตอร์คนอื่นจนทำให้ได้รับความเสียหาย
7.มาตรา 11 สแปมเมล์ (Spam mail) : ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น  โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว  อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่น  โดยปกติสุข ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มีความหมายว่าห้ามมิให้ส่งข้อมูลหรือส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้อื่นโดยที่ปกปิดแหล่งที่มาขอผู้ส่ง ซึ่งจดหมายนั้นเป็นการรบกวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์
8.มาตรา 12 การกระทำความผิดต่อประชาชนโดยทั่วไป/ความมั่นคง : ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10
1.  ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันที หรือในภายหลังและไม่ว่าจะเกิด    ขึ้นพร้อมกัน   หรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
2.  เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์   หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะหรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์  ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี   และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตาม (2) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
มีหมายความว่า ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9กับ10แล้วนั้นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือเกิดผลแก่ความมั่นคงของชาติต้องรับผิดเพิ่มตามมาตรา 12
9.มาตรา 13 การจำหน่าย/เผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อใช้กระทำความผิด : ผู้ใดจำหน่าย   หรือเผยแพร่ชุดคำสั่ง  ที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด  ตามมาตรา มาตรา มาตรา มาตรา มาตรา 9 มาตรา 10  หรือมาตรา 11 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มีความหมายว่าห้ามจำหน่ายโปรแกรมหรือชุดข้อมูลที่จะเป็นเครื่องมือกระทำความผิดตามมาตรา 5,6,7,8,9,10และ11
10.มาตรา 14 นำเข้า/ปลอม/เท็จ/ภัยมั่นคง/ลามก/ส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ : ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์   ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน   หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์   อัน เป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด  ๆ   อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร   หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ  ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชน   ทั่วไปอาจเข้า ถึงได้
เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
มีความหมายว่า ห้ามมิให้นำเข้าซึ่งขอมูลที่เป็นการปลอม หรือเป็นเท็จ หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือลามกสู่ระบบคอมพิวเตอร์
11.มาตรา 15 ความรับผิดของผู้ให้บริการ : ผู้ใดให้บริการ ผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14
มีความหมายว่า ห้ามผู้ใด ให้บริการ จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา14ในระบบคอมพิวเตอร์ของตนเองหรืออยู่ที่ตนเอง
มาตรา 16 การเผยแพร่ภาพ ตัดต่อ/ดัดแปลง : ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น  และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีการอื่นใด  ทั้งนี้  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  ถูกเกลียดชัง  หรือได้รับความอับอาย   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต  ผู้กระทำไม่มีความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้  ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตามเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย ความผิดอื่นใดอาจไม่ได้รับโทษตาม พ.ร.บ. นี้เพียงอย่างเดียวต้องดูองค์ประกอบ  และกฎหมายฉบับอื่นประกอบด้วย  เช่น  พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์พ.ร.บ.  ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์, ความผิดทางแพ่ง, อาญา
มีความหมายว่า ห้ามนำภาพที่ได้ตัดต่อดัดแปลงภาพของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์





[1] file:///C:/Users/User/Downloads/5099%20(1).pdf
[2] http://www.ictkm.info/content/category/10.html

กฎหมายธุรกิจด้านออนไลน์


ภาพโดย
กลุ่ม KM SYSTEM section 005
   เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนวิชา 954260 KM SYSTEM

กฎหมายธุรกิจด้านออนไลน์

           ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่าง มาก จนปัจจุบันมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 1.8 พันล้านคน และคาดว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยกว่า 21 ล้านคน ซึ่งยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่รุดหน้า ทั้งระบบโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ทำให้การสื่อสารกันเป็นไปได้โดยง่าย และสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการได้หลายระดับ อีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกันได้ทันที ทำให้สามารถเสนอธุรกรรมที่หลากหลาย เช่น การชื้อขาย การบริการหลังการขาย การโอนเงินชำระค่าบริการสินค้า การขนส่ง เป็นต้น ดังนั้น การหันมาทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ของบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง


ธุรกิจออนไลน์         

             ธุรกิจออนไลน์ หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: Electronic commerce) หรือ อีคอมเมิร์ซ(e-Commerce)  หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถกระทำผ่าน โทรศัพท์เคลื่อนที่ การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การโฆษณาในอินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งซื้อขายออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทของความสำคัญขององค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้าเป็นต้น ดังนั้นจึงลดข้อจำกัดของระยะทางและเวลา ในการทำธุรกรรมลงได้

    การประกอบธุรกิจต้องติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลจำนวนมาก และการประกอบธุรกิจก็มีหลายประเภท ทั้งการผลิต การซื้อขาย และการบริการ ดังนั้นจึงมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง มีทั้งกฎหมายหลักที่ครอบคลุมการประกอบการทุกประเภท เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น และมีกฎหมายเฉพาะเรื่อง เช่น พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ร.บ.บัญชี พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องศึกษากฎหมายที่ตนเกี่ยวข้องให้เข้าใจ เพื่อความมั่นใจในการประกอบการ และความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในที่นี้จะกล่าวถึงกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ที่จำเป็นต้องทราบพอสังเขป ผู้ประกอบธุรกิจควรสนใจศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการของตนไว้ด้วย


กฎหมายนิติกรรม

หลักกฎหมายในเรื่องนิติกรรมนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่จะนำไปใช้ทุกๆ เรื่องของกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะนิติกรรมเป็นความผูกพันทางกฎหมายโดยเจตจำนงของผู้ทำนิติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาต่างๆ เช่น ซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จำนอง จำนำ ฯลฯ เพื่อให้นิติกรรมนั้นๆ สมบูรณ์ ถูกต้อง และมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ย่อมต้องอาศัยหลักนิติกรรมนี้ไปใช้ทั้งสิ้น หลักเกณฑ์ต่างๆ ในการทำนิติกรรรมจึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาทำความเข้าใจ และให้ความสำคัญอย่างยิ่

ความหมายและหลักเกณฑ์สำคัญของนิติกรรม
นิติกรรมหมายความว่า การใดๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมาย และด้วยใจสมัครมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิหรือที่เรียกรวมๆ กันว่า การเคลื่อนไหวในสิทธิ” (มาตรา 149)
ทั้งนี้ ผู้ที่ทำนิติกรรมจะต้องมี ความสามารถในการทำนิติกรรมด้วย

หลักเกณฑ์สำคัญของนิติกรรม
1. ต้องมีการแสดงเจตนากระทำ กล่าวคือมีการกระทำที่แสดงออกมาถึงความประสงค์ของตนที่มีอยู่ในใจ ซึ่งอาจแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้
2. ต้องกระทำโดยสมัครใจ หมายความว่า เป็นการแสดงเจตนาโดยอิสระ ปราศจากการข่มขู่ ล่อลวง ฉ้อฉล หรือหลอกลวงให้สำคัญผิดใดๆ ถ้าสมัครใจแล้วแม้จะตกลงให้ได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างไรก็ใช้ได้
3. มุ่งให้มีผลผูกนิติสัมพันธ์ (ผูกพัน) ทางกฎหมาย หมายความว่า ต้องการให้มีผลบังคับจริงจัง หากอีกฝ่ายไม่ยอมปฏิบัติตาม ผลในทางกฎหมายนี้ถือการเคลื่อนไหวในสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 ประเภท อันได้แก่ ก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ หรือการระงับสิทธิ
4. เป็นการทำลงโดยชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า ได้ทำลงโดยถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัตถุประสงค์ของนิติกรรม ความสามารถของบุคคล ตลอดจนถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้


ประเภทของนิติกรรม
นิติกรรม แบ่งเป็นประเภทใหญ่ 2 ประเภท ได้แก่
1. นิติกรรมฝ่ายเดียว เช่น การทำพินัยกรรม คำมั่นต่างๆ การปลดหนี้ การตั้งมูลนิธิ การบอกสัญญา นิติกรรมฝ่ายเดียวนี้ย่อมมีผลตามกฎหมาย แม้จะยังไม่มีผู้รับก็ตาม
2. นิติกรรมสองฝ่าย หรือสองฝ่ายขึ้นไป ทำให้เกิดสัญญา หรือข้อตกลงต่างๆ เช่น สัญญาซื้อขาย เป็นต้น


กฎหมายสัญญา

สัญญาเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากการตกลงกันระหว่างบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปทำให้เกิดมีความเป็นเจ้าหนี้ และลูกหนี้ที่มีหน้าที่ต่อกัน
สัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อมีคำเสนอและคำสนองสอดคล้องถูกต้องตรงกัน (คำเสนอคือการแสดงเจตนาของการทำสัญญา ส่วนคำสนองคือการตอบรับตามคำเสนอนั้นเท่านั้น สัญญาจึงเกิดขึ้น)

ประเภทของสัญญา
สัญญาอาจแบ่งได้หลายประเภท แต่ที่ใช้บ่อยๆ ได้แก่
1. สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน สัญญาต่างตอบแทนหมายถึงสัญญาที่ต่างฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน หรือต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์แก่กันเป็นการตอบแทน เช่น สัญญาซื้อขาย ฝ่ายผู้ซื้อได้ทรัพย์สินที่ได้ซื้อ ส่วนผู้ขายได้เงินเป็นการตอบแทน
สัญญาไม่ต่างตอบแทนหมายถึง สัญญาที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว เช่น สัญญาให้ผู้รับจะได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว
2. สัญญามีค่าตอบแทน (มีบำเหน็จ) กับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน (ไม่มีบำเหน็จ)“สัญญามีค่าตอบแทนหมายถึง สัญญาที่ทำให้คู่สัญญาต่างมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนซึ่งกันและกันอาจจะเป็นทรัพย์สินแรงงาน หรือประโยชน์อื่นใดก็ได้ เช่น นายหน้า
สัญญาไม่มีค่าตอบแทนหมายถึง สัญญาที่ไม่มีค่าบำเหน็จตอบแทน เช่น สัญญาตัวแทน
3. สัญญาประธานกับสัญญาอุปกรณ์ เป็นการแบ่งโดยพิจารณาในแง่การเกิดขึ้นและความเป็นอยู่ของสัญญารวมทั้งความสมบูรณ์ของสัญญาสัญญาประธานหมายถึง สัญญาที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ได้โดยลำพังไม่ขึ้นกับสัญญาอื่นใด ความสมบูรณ์ของสัญญาพิจารณาจากตัวสัญญานั้นเองเท่านั้น เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญายืม เป็นต้น
สัญญาอุปกรณ์หมายถึง สัญญาที่ไม่สามารถเกิดขึ้น และเป็นอยู่ได้โดยลำพังตนเอง นอกจากสัญญาอุปกรณ์จะต้องสมบูรณ์ตามหลักความสมบูรณ์ของตัวเองแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสัญญาประธานอีกด้วย เช่น สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง สัญญาจำนำ เป็นต้น
4. เอกเทศสัญญา หมายถึง ลักษณะของสัญญา วัตถุประสงค์ ผลทางกฎหมาย รวมตลอดถึงสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาในสัญญาแต่ละประเภทไว้โดยเฉพาะ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ในบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 22 ลักษณะ เช่น เอกเทศสัญญา ว่าด้วยการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้ เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ เป็นต้น


กฎหมายหนี้
หนี้ ได้แก่ นิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนึ่งเรียกว่าลูกหนี้มีหน้าที่ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าเจ้าหนี้หรือหมายความถึงการที่คู่สัญญาต่างฝ่ายต่างต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่กันและกันได้แก่
1) กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
2) กระทำการละเว้นกระทำการ
3) กระทำการส่งมอบทรัพย์สิน
ลักษณะสำคัญของหนี้ ประกอบด้วย
1. มีนิติสัมพันธ์ อันเป็นความผูกพันในทางกฎหมาย เช่น นิติกรรม
2. มีเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อชำระหนี้ให้ตามความผูกพันทางกฎหมาย
3. มีวัตถุแห่งหนี้ คือกระทำการ งดเว้นกระทำการ หรือส่งมอบทรัพย์สิน แล้วแต่คู่กรณีจะได้ตกลงกันไว้
บ่อเกิดแห่งหนี้
หนี้มีสาเหตุหรือบ่อเกิดแห่งหนี้ที่สำคัญคือ
นิติกรรมสัญญาเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะเกิดจากเจตนาของบุคคลซึ่งเป็น
สาเหตุแห่งการเป็นหนี้มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาที่มีชื่อเฉพาะในเอกเทศสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เช่น สัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ


กฎหมายซื้อขาย

ความหมายของสัญญาซื้อขาย
ซื้อขาย  หมายถึง  สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย 

ลักษณะของสัญญาซื้อขาย
1. สัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมสองฝ่ายต้องใช้หลักทั่วไปของสัญญา(คำเสนอ  คำสนองฯ) หลักทั่วไปของนิติกรรม(วัตถุประสงค์ , เจตนาลวง , นิติกรรมอำพราง , กลฉ้อฉล , ข่มขู่ , สำนึกผิด)  หลักทั่วไปของเรื่องบุคคล(ความสามารถ)
2. บุคคลสองฝ่ายตกลงกันที่จะให้มีการโอนกรรมสิทธิ์
3. สัญญาซื้อขายมุ่งที่จะโอนกรรมสิทธิ์(วัตถุประสงค์หรือประโยชน์สุดท้าย)
4. เป็นสัญญาต่างตอบแทน เช่น        แดงขายที่ดินให้ดำราคา  100,000
 แดง(ในฐานะลูกหนี้)          ส่งมอบที่ดิน
 ดำ(ในฐานะลูกหนี้)
            ชำระราคา
 แดง(ในฐานะเจ้าหนี้)
         เรียกให้ชำระราคา
 ดำ(ในฐานะเจ้าหนี้)           เรียกให้ส่งมอบที่ดิน
       
   
ประเภทของสัญญาซื้อขาย
1. สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  คือ  สัญญาซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงกันเป็นที่เสร็จสิ้น  ไม่มีแบบพิธีอันใดที่จะต้องไปทำเพิ่มเติมกันอีก  เช่น  นายแดงทำสัญญาซื้อขายโทรศัพท์มือถือจากนายดำในราคา 5,000  บาท  เช่นนี้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  เพราะได้ตกลงซื้อขายกันจนกรรมสิทธิ์โอนไปเป็นของนายแดงแล้ว  ส่วนปัญหาว่าจะส่งมอบโทรศัพท์กันเมื่อไหร่เป็นเรื่องของการชำระหนี้
 2. สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข
มาตรา  459 บัญญัติว่า  ถ้าสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข....ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้เป็นไปตามเงื่อนไข....”  หมายถึง  สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งนำเอาเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนว่าจะเกิด ขึ้นหรือไม่มาเป็นตัวกำหนดว่ากรรมสิทธิ์จะยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้อ จนกว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไข
1.  เงื่อนไขบังคับก่อน
2.  เงื่อนไขบังคับหลัง
มีการซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว  เพียงแต่มีเงื่อนไขเป็นตัวการประวิงเวลาการโอนสิทธิออกไป  เช่น  นายแดงตกลงซื้อรถยนต์จากนายดำ  โดยตกลงกันว่าให้นายแดงรับรถไปจากนายดำได้เลย  แต่กรรมสิทธิ์จะยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้ชำระราคาเสร็จ
3. สัญญาซื้อขายมีเงื่อนเวลา
มาตรา  459  บัญญัติว่า  ถ้าสัญญาซื้อขายมี...เงื่อนเวลาบังคับไว้  ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะยังไม่โอนไปจนกว่าการจะได้เป็นไปตาม...กำหนดเงื่อนเวลานั้น...”  หมายถึง  สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  แต่กรรมสิทธิ์จะยังไม่โอนไปจนกว่าจะถึงกำหนดตามเวลา
-     สัญญาจะยังไม่โอนไปจนกว่าฝนจะตก.........?
-     สัญญาจะยังไม่โอนไปจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน....?
4. สัญญาจะซื้อจะขาย
 มาตรา  456  วรรคสอง  บัญญัติว่า อนึ่ง สัญญาจะขายหรือจะซื้อทรัพย์สินอย่างใดๆ...ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำ(มัดจำ)ไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่”  หมายถึง  สัญญาซื้อขายประเภทหนึ่ง  ซึ่งคู่สัญญาได้ทำสัญญาเอาไว้ต่อกันฉบับหนึ่งว่าจะไปทำสัญญาซื้อขายให้สำเร็จตลอดไป  โดยการทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด  คือ  การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายภาคหน้า


บทสรุป

            ผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์จึงจำเป็นต้องศึกษากฎหมาย กฎหมายที่ยกมาอธิบายพอสังเขปนี้ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจด้านออนไลน์ที่ผู้เขียนมีความคิดว่าจำเป็นที่ผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ควรทราบ เนื่องจากเป็นกฎหมายพื้นฐานในการทำธุรกิจคือ กฎหมายนิติกรรม เป็นหลักเกณฑ์ที่จะนำไปใช้ทุกๆ เรื่องของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะนิติกรรมเป็นความผูกพันทางกฎหมายโดยเจตจำนงของผู้ทำนิติกรรม กฎหมายสัญญา เป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากความตกลงของระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีคำเสนอ คำสนอง ที่ตกต้องตรงกัน กฎหมายหนี้ เมื่อบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปได้ทำสัญญาต่อกันก็จะจึงเกิดหนี้ระหว่างบุคคลนั้น ซึ่งมีฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหนี้ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกหนี้ ที่จะต้องมีหน้าที่ชำระหนี้ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง กฎหมายซื้อขาย ธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขาย ที่บุคคลมีทำการซื้อขายสิ่งต่างๆบนอินเตอร์เน็ต จะมีผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งมีหน้าที่ชำระหนี้ต่อกัน ตามนิติกรรสัญญาที่มีการตกลงซื้อขายบนอินเตอร์เน็ต
            ธุรกิจออนไลน์ เป็นรูปแบบของการกระทำธุรกิจรูปแบบหนึ่ง กฎหมายที่ใช้นั้นจึงนำกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เบื้องต้นในการประกอบธุรกิจมาใช้บังคับโดยเทียบเคียง เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการประกอบธุรกิจออนไลน์ ที่จะกำหนดสิทธิ หน้าที่ หรือความรับผิดต่างที่ได้กระทำบนอินเตอร์เน็ต ดังนั้น จึงต้องนำกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กฎหมายซึ่งเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาบังคับใช้กับธุรกิจออนไลน์



เอกสารอ้างอิง

หนังสือ
สุณี ตันติอธิมงคล. (2549). กฎหมายธุรกิจ. สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์. (2552). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ :
            ซีเอ็ดยูเคชั่น      
เวปไซด์
สราวุธ นิติวัฒนะ. ความรู้พื้นฐานทางกฎหมายธุรกิจ. วันที่ค้นข้อมูล 11 มกราคม 2557, เวปไซด์ :
การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์. วันที่ค้นข้อมูล 11 มกราคม 2557, จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี เวปไซด์ :
            http://th.wikipedia.org/wiki/การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

กฏหมายน่ารู้ของโลกออนไลน์ (ตอนที่ ๑). วันที่ค้นข้อมูล 11 มกราคม 2557, จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรม

ทางอิเล็กทรอนิกส์ เวปไซด์ : http://www.etda.or.th/etda_website/content/background-and-mission.html

สราวุธ นิติวัฒนะ. ความรู้พื้นฐานทางกฎหมายธุรกิจ. วันที่ค้นข้อมูล 11 มกราคม 2557, เวปไซด์ :